Search
Close this search box.

รีวิว Keychron K4 V.2 คีย์บอร์ดน่าสนใจจากแบรนด์ชั้นนำ

รีวิว Keychron K4 V.2

คีย์บอร์ดมาตรฐานที่เกือบจะเป็น Full size ต้องบอกเลยว่าเราสนใจเจ้าตัวนี้ตั้งแต่เห็นครั้งแรกเลยทีเดียว ด้วยความที่ว่า คีย์บอร์ดไซส์นี้ไม่ค่อยมีให้เห็นมากนักในตลาดบ้านเรา บวกกับเราเป็นคนที่ใช้คีย์บอร์ด Full size เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตัวที่เราได้มาจะเป็นตัวจากศูนย์ไทยซึ่งเป็นตัวท็อปจากรุ่นนี้แล้ว พอได้ลองสัมผัสตัวจริงแล้ว ก็สามารถพูดได้เลยว่าเป็นคียร์บอร์ดตัวนึงที่ใช้งานได้ดีและครบถ้วนมาก ๆ เลยทีเดียว

มาดูภายในกล่องกันดีกว่า 

สำหรับคีย์บอร์ดตัวนี้ เราได้มาแบบครบ ๆ หน้าตากล่องไม่ได้แปลกไปจาก Keychorn อื่น ๆ โดยเป็นกล่องสีดำ พร้อมสกรีนชื่อรุ่นเป็นตัวอักษรสีเงินและ Layout คีย์บอร์ดด้านหน้ากล่อง แกะกล่องมาจะเจอกับโฟมกันกระแทก และคู่มือการใช้งาน พร้อมกับ Keychron  K4 V.2 นอนหล่อ ๆ รออยู่ในกล่องเลย โดยติดตั้งคีย์ Keycaps สำหรับ Mac/IOS Layout เอาไว้ และภายในกล่องยังมีแถมอุปกรณ์เสริมมาให้ ประกอบด้วย Keycaps เสริมปุ่มของ Window Layout (alt และ Window) ตัวดึงสวิตซ์และคัย์แคป สาย USB-A to USB-C ซึ่งตัวสายเขาให้มาเป็นสาย L อีกด้วย จากที่ดูแล้วเหมือนจะทำสายให้ใช้กับตัวคีย์บอร์ดโดยเฉพาะ หากไม่ได้ใช้สายที่แถมมาในกล่องแล้ว อาจจะนำไปใช้งานอย่างอื่นยากนิดนึง

ดีไซน์

ในส่วนของดีไซน์ ต้องบอกเลยว่ายังคงดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Series K เลยก็ว่าได้ มองจากระยะ 10 เมตร ยังรู้ได้เลยว่านี่แหละ Keychron K Siries โดยตัวบอร์ดเป็นเคสแบบด้านล่างแค่ชิ้นเดียวประกอบเข้ากับตัวเฟรม ด้านล่างมีฟีดยางกันลื่นมาให้ 4 มุม ดีไซน์มีความเรียบ ๆ ออกไปทาง Minimal ตัวบอร์ดมีความสมมาตร ด้วยความทรงเขาออกมาเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าอะนะ แล้วไอความที่สมมาตรของเขาเนี่ยทำให้ตัวบอร์ดไม่ได้มีความลาดเอียงเข้ากับการพิมพ์ และเทียบกับคีย์บอร์ดที่ใช้งานกันทั่ว ๆ ไป เจ้าตัวนี้ก็แอบมีความสูงอยู่บ้าง ซึ่งตัวปรับระดับที่ให้มาด้านหลังของตัวบอร์ดก็พอจะช่วยแก้ให้ตัวบอร์ดเอียงขึ้นมาทำให้พิมพ์ถนัดขึ้นมาได้บ้าง อย่างไรก็ตามหากเพิ่งเริ่มใช้งาน Mechanical อาจจะต้องปรับตัวกับความสูงตรงนี้สักพักนึงเลยหละ หรือจะให้ดีก็ลองหาที่รองข้อมือมาใช้คู่กันก็จะสะดวกในการพิมพ์มากยิ่งขึ้น

วัสดุสุดแกร่งจาก Keychron

แม้ว่า Keychron K4 V.2 ตัวบอดี้ของเขาจะเป็นพลาสติก ABS ซะส่วนใหญ่แต่ต้องบอกเลยว่าตัวพลาสติกนั้นคุณภาพดีมาก ๆ สัมผัสแล้วรู้สึกเลยว่าตัวบอร์ดมีความแข็งแรง บวกกับเฟรมอลูมิเนียมที่ใช้ Aircraft-grade aluminum เป็นขอบของตัวบอร์ด ซึ่งมีความแข็งแรงมาก ๆ ทำให้ช่วยป้องกันการกระแทกได้เป็นอย่างดี พูดได้เลยว่าเราที่เป็นคนซุ่มซ่ามมาก ๆ จับตัวบอร์ดไปกระแทกนู้นกระแทกนี่บ่อย ๆ แต่เอาจริง ๆ ยังไม่เห็นริ้วรอยอะไรเกิดขึ้นเลย และด้วยความที่ตัวบอร์ดส่วนใหญ่เป็นพลาสติก ทำให้น้ำหนักไม่มากเท่าไหร่นัก เวลาพกพาไปไหนเนี่ยค่อนข้างสะดวกมาก ๆ อาจจะติดตรงขนาดของเขาที่ใหญ่ไปบ้าง แต่โดยรวมถือว่าพกพาได้ไม่ลำบากชีวิตเลยหละ

ฟีลแน่น ๆ ด้วยอะลูมิเนียมเพลท

เจ้าบอร์ดตัวนี้ให้เพลทมาเป็นอะลูมิเนียม เลยให้ความรู้สึกในการกดลงไปที่ค่อนข้างแน่น ๆ แข็ง ๆ หน่อย เรื่องความ Flex นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะแทบจะไม่มีเลยแหละ เวลาพิมพ์เลยรู้สึกว่ามันค่อนข้างกระด้าง ไม่ค่อยมีความเด้งสู้มือมากนัก ส่วนตัวเลยรู้สึกว่ามันแอบแข็ง ๆ ไปหน่อยถ้าไม่ชินนี่พิมพ์ไปเหนื่อยไปแน่ ๆ แต่ถ้าใครชอบฟีลการพิมพ์แน่น ๆ กดลงไปแล้วรู้สึกมั่นคงแข็งแรง บอกเลยเพลทอะลูมิเนียมของเขาเนี่ยตอบโจทย์มาก ๆ 

Hot-Swappable PCB

เชื่อเลยว่าพอใช้ไปนาน ๆ เข้าความเบื่อมันก็เริ่มมากัดกินหัวใจชาวเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แหละ ซึ่งการที่จะทำให้คีย์บอร์ดหน้าเดิม ๆ ที่เราใช้อยู่ทุกวันเนี่ย ให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ได้ วิธีแรก ๆ ที่จะนึกได้ก็คือการเปลี่ยนสวิต ใช่ไหมหละ แล้วจะเปลี่ยนทั้งทีถ้าต้องมานั้นบัดกรีให้โดนหัวแร้งจี้มือเนี่ย มันก็ดูจะลำบากเกินกว่าที่คนอย่างเราจะมานั่งทำ สำหรับ PCB เจ้าตัวนี้ก็ตอบโจทย์ตรงนั้นได้ดีมาก ๆ เพราะว่าได้มีการอัพเกรดจากตัว K4 ที่จะเปลี่ยนทีนึงก็ต้องบัดกรีมาเป็นแบบ Hot-Swap แทนทำให้การเปลี่ยนสวิตซ์ของเจ้าตัวนี้ทำได้ง่ายมาก ๆ แค่เรากล้า ๆ ดึงมันหน่อยอะนะ ซึ่งเขาก็ทำมาให้รองรับทั้งขาแบบ 3-Pin และ 5-Pin ไม่ว่าจะซื้อสวิตซ์แบรนด์ไหนมาก็ไม่ต้องมานั่งตัดขาหรือกลัวจะใส่ไม่ได้เลย

Gateron Switch ที่ Keychron ไว้ใจ

สวิตซ์ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ สำหรับคีย์บอร์ด Custom ก็ว่าได้ ซึ่ง Keychron ได้เลือกใช้สวิตซ์จากแบรนด์ Gateron ทำให้วางใจในเรื่องของคุณภาพได้เลย โดยในตัวนี้ได้ใช้เป็นสวิตซ์เป็น Gateron G Pro มีให้เลือกถึง 3 แบบ คือ Blue, Brown และ Red ตัวสวิตซ์มีการ Pre-Lubed มาให้เรียบร้อยพร้อมใช้งาน โดยตัวที่เราได้มานั้นจะเป็นตัว Brown ฟีลการกดแบบ Tactile ต้องบอกก่อนว่าจริง ๆ เราเป็นคนที่ชอบสวิตซ์แบบ Clicky มากกว่าแต่ที่เลือกเป็น Brown เพราะตั้งใจจะใช้ทำงานกลัวรบกวนคนอื่น ทำให้ตอนใช้แรก ๆ ขัดใจมาก ๆ ถึงจะบอกว่า Tactile ฟีลในการพิมพ์มีความใกล้เคียงกับ Clicky ก็เถอะ แต่ดูปากเรานะ ไม่จ้า!!

ไม่ใกล้เลย แต่ยังไงก็ตามพอใช้ไปสักพักจนเริ่มเข้ามือ มันค่อนข้างตรงกับความขาดหวังของเราตรงที่มันเงียบพอสมควร เมื่อเทียบกับที่เคยได้ลอง Tactile หลาย ๆ ตัวมา ฟีลในการกดก็ไม่ได้หนักมาก พิมพ์ได้เรื่อย ๆ แต่ความรู้สึกของความเป็น Tactile เขาค่อนข้างจางไปนิดนึง จะบอกว่าถ้าพิมพ์ไปเร็ว ๆ โดยไม่คิดอะไรก็แอบคล้ายสวิตซ์ Linear เลยแหละ ลูปที่จากโรงงานก็ทำมาได้ในระดับที่โอเครับได้ แต่ถ้าว่าง ๆ จะให้ดีก็ลองถอดออกมาลูปใหม่ดูก็น่าจะได้ฟีลการกดที่ดีขึ้นได้มากกว่านี้

Keycaps

ตัวคีย์แคปที่ให้มาเป็น ABS โปรไฟล์ OEM แบบมาตรฐานสุด ๆ ใช้งานง่าย เรื่องการพิมพ์ก็ไม่มีปัญหาเลยเพราะเขามาพร้อมกับคีย์ไทยให้แบบครบ ๆ ฟอนต์สกรีนมาชัดเจน แล้วก็ไฟ RGB ลอดแค่ตัวอักษรภาษาอังกฤษเท่านั้นนะ ดีไซน์ก็เขาล้อไปกับดีไซน์ตัวบอร์ด ออกแนว Minimal สีออกไปโทนสีเทา ๆ แต่จะมีจุดเด่นอยู่ที่ปุ่ม esc ที่มีคีย์แคปสีส้มมาให้เปลี่ยนเป็นกิมมิคเล็ก ๆ เพิ่มลูกเล่นให้ตัวบอร์ด โดยรวม ๆ แล้ววางไว้บนโต๊ะทำงานแล้วหล่อ ๆ เลยหละ ส่วนเรื่องการใช้งานจริง ๆ สัมผัสในการพิมพ์ก็ถือว่าทำได้ดีถึงเราจะชอบคีย์แคป PBT มากกว่าก็เถอะ แต่สิ่งที่ไม่ชอบอย่านึงคือตัวคีย์แคปเลอะง่ายมาก ไอเราที่เป็นคนกินข้าวหน้าคอมอะ เวลาแบบกินลูกชิ้นแล้วน้ำจิ้มกระเด็นไปโดนเนี่ยต้องถอดคีย์แคปออกมาขัดเลยนะ เพราะเอาทิชชูเช็ดแล้วมันไม่ออกอะ รวมถึงพวกรอยนิ้วมือที่ติดกับตัวคีย์แคปเนี่ยก็ค่อนข้างเยอะ แต่ก็พอเข้าใจได้คีย์แคป ABS อะ เรื่องความมันความเลื่อมก็เป็นเรื่องปกติ ถ้าหากอยากให้น้องสวยเด่นเป็นสง่าก็ต้องหมั่นทำความสะอาดกันหน่อยแหละ

เสียง

เรื่องของเสียงในการพิมพ์ ตัวนี้จะออกไปทาง Clack ซะมากกว่า ซึ่งต้องบอกว่าค่อนข้างเฉย ๆ เพราะว่าเสียงเขามีความก้อง ๆ โหวง ๆ อยู่ค่อนข้างมาก แม้ว่าจะได้ความช่วยเหลือจากเพลทอลูมิเนียมทำให้มีความแน่นขึ้นมาบ้าง แต่ด้วยเคสเขาค่อนข้างใหญ่ พื้นที่ใต้เคสเลยกว้างพอจะจัดคอนเสริ์ตได้เลย เสียงที่ได้เลยไม่เคลียร์เท่าที่ควร แต่เอาเข้าจริงหูแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันแหละ เลยอยากให้ลองไปฟังดูเองก่อนอย่าพึ่งบูลลี่น้องเลยย 

ฟีลในการพิมพ์

แรก ๆ ก็ไม่ชินหรอก ทั้งเรื่องของสวิตซ์ แล้วก็ Layout ด้วย อย่างที่บอกว่าเราชอบความ Clicky มากว่า พอเจอฟีลการกดแบบนี้มันก็เลยเป็นอะไรที่ค่อนข้างแปลกใหม่ แต่พอใช้ไปนาน ๆ เข้าก็เออ ก็พิมสนุกดีเหมือนกันนะ ด้วยน้ำหนักการกดของเขาน้อยกว่าที่เราใช้ประจำพอสมควร ทำให้พิมลื่นขึ้นมาก ๆ และด้วยความที่เขาเป็น Tactile ทำให้เวลาพิมพ์มันไม่ค่อยลั่นเท่าไหร่ แต่ก็อย่างที่บอกว่าเวลาพิมพ์ไปเร็ว ๆ เนี่ยจะไม่รู้รู้สึกถึงความเป็น Tactile แล้ว รวม ๆ แล้วถือว่าพิมพ์สนุก คล่องมือแล้วก็พิมพ์ไปได้เรื่อย ๆ 

ตีบวกน้องให้เจ๋งแจ๋วไปเลย

จริง ๆ แล้วเจ้าตัวนี้เขาก็ Pre-built มาพร้อมใช้มาก ๆ แล้วแหละ แต่สำหรับคนที่อยู่ในวงการ Custom Keyboard อย่างเรา ๆ เนี่ย มันก็อดไม่ได้ที่จะต้องทำให้เด็ก ๆ ของเราแสดงศักยภาพออกมาให้เต็มที่ ที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ใช่มะ เขย่าแขน!! แต่ถึงจะบอกอย่างนั้น พอเอาเข้าจริง เจ้าตัวนี้เขาไม่ได้ถูกออกแบบ มาให้เรา Mod เท่าไหร่นัก เพราะว่าบอดี้ของเขาเนี่ย เป็บแบบชิ้นเดียวยึดติดกับเพลทเลย ทำให้เวลาจะแกะทีนึงแทบจะต้องแยกส่วนประกอบใหม่ทั้งบอร์ดเลย กว่าจะถอดคีย์แคปแกะสวิตซ์ไขน๊อตที่ใส่มาพอจะถมอ่าวไทยได้ ก็แทบจะหมดแรงแล้ว แล้วสิ่งที่ทำได้มันก็มีไม่เยอะเท่าไหร่ ไหนจะเรื่องประกันที่แค่เราเปิดเคสออกมาก็หลุดประกันแล้วอีก แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย ถ้ามีโอกาสก็อยากให้ลองทำดูนะ กัดฟันทดปวดหลังสักนิด แล้วประสบการณ์ในการใช้งานมันจะดีขึ้นไปอีกขั้นเลย ถึงจะอวยให้ทำขนาดนี้แต่ก็ใช่ว่าแบบเดิม ๆ จะใช้ไม่ได้เลยนะ เขาก็ทำมาโอเคในระดับนึงแล้วแหละ แค่ถ้าได้อัพเกรดกันอีกสักนิดเนี่ยมันจะเจ๋งแจ๋วไปเลย

การใช้งาน

กับเจ้าคีย์บอร์ดตัวนี้บอกเลยว่าอยู่กับเราวันนึงเกิน 8 ชั่วโมงแน่ ๆ ในช่วงที่เราใช้แรก ๆ เราไม่ได้ใช้ตัวปรับระดับที่เขาให้มาเลย เลยรู้สึกว่าระยะมือมันไกลมาก ๆ อย่างที่เคยบอกไปว่าตัวบอร์ดเป็นทรงสมมาตรสุด ๆ อย่าได้คาดหวังว่าเขาจะเอียงรับการพิมพ์ของเรา แล้วไอที่รองข้อมือเนี่ยบอกเลยว่าไม่มี ไม่เคยใช้ ทำให้ช่วงแรกที่ใช้งานจริง ก็แอบ ๆ เมื่อยมือบ้าง ใช้ไปสักพักถึงได้บรรลุว่าตัวปรับระดับคือนิพพาน เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้ช่วยให้พิมพ์ได้สบายถึงขั้นแบบ โอ้! Ergonomic อะไรขนาดนั้น แต่มันต่างกันแบบมาก ๆ พอเริ่มใช้แล้วรู้สึกพิมพ์เร็วและคล่องขึ้นแบบเห็นได้ชัดเลย

เรื่องของแบตเตอรี่นี่ต้องบอกว่าเขาจัดหนักจัดเต็มให้สุด ให้มาถึง 4000mAh ซึ่งถือว่าให้มาเยอะมาก ๆ Keychron ก็เคลมมาเลยว่าใช้ได้ถึง 240 ชั่วโมง แบบปิดไฟ RGB บางทีเราก็ใช้จนลืมไปเลย  

ส่วนเรื่องของ Layout จะบอกว่าถนัดเลยก็พูดได้ไม่เต็มปาก ไอความ 96% เนี่ยมันก็ยังไม่ใช่ Full size ไง พวกปุ่มลูกศรที่ถูกบีบมารวมกันเป็นแผงเดียว มันชวนให้กดผิดตลอดเวลา เวลาจะกดปุ่มลูกศรมันจะต้องเผลอไปโดนตัวเลข 1, 0 หรือ Ctrl ตลอดเลย ก็แอบหงุดหงิดอยู่หน่อย ๆ แล้วเครื่องหมาย – ก็เป็นอีกตัวนึงที่เราใช้บ่อยมาก ๆ แต่ใจเจ้ากรรมดันไปติดกับปุ่มเปลี่ยนสีไฟ RGB ซึ่งไอเราก็กดผิดไปโดนตลอดเลยไง แล้วเวลาจะเปลี่ยนโหมดไฟกลับมาโหมดเดิมก็คือต้องกดไล่วนจนครบรอบ บางทีกดจนท้อก็ปิดไฟหนีไปเลยก็มี ในส่วนของ Key ต่าง ๆ ก็ครอบคลุมทั้งการใช้งานบน Wndow, Mac, IOS และ Andriod ให้มาอย่างครบถ้วนดีใช้งานง่ายไม่ต้องไปกดปุ่ม Fn เพิ่มให้วุ่นวาย รวมถึงพวกคำสั่งต่าง ๆ ที่ใช้ใน Mac ก็สามารถสลับใช้ได้ง่าย ๆ แค่เปลี่ยนสวิตซ์ด้านข้าง ขาดก็แต่ปุ่ม Print screen ที่คนใช้ Window อย่างเราแอบอยากให้มีมันจะได้สะดวกหน่อย ถึงจะไม่ค่อยได้ใช้ก็เถอะ

ที่เจ๋งอีกอย่างนึงคือ เขามี Sleep Mode ด้วยนะเออ เราก็เป็นคนขี้ลืมซะด้วยบางที่ใช้เสร็จปิดคอมจะไปนอนแต่ดันลืมปิดคีย์บอร์ด พอปล่อยไว้สักพักน้องเขาก็จะเข้า Sleep Mode แล้วนอนตามเราไปด้วยเลย ตรงนี้ก็ช่วยประหยัดแบตไปได้พอสมควรเลย หรือถ้าไม่อยากใช้ ก็สามารถเปิดปิดได้ที่ตัวบอร์ดเลย ถือว่าทำออกมาได้ดีและสะดวกมาก ๆ 

การเชื่อมต่อ

ในส่วนของการเชื่อมต่อที่เขาให้มาจะเป็น แบบสาย USB-A to USB-C และ Bluetooth สามารถสลับใช้ได้ถึง 4 เครื่อง แบ่งเป็น Bluetooth 3 เครื่อง และ สายอีก 1 เครื่อง สลับโปรไฟล์ Blutooth โดยการกดปุ่ม Fn พร้อมกับเลข 1-3 การเชื่อมต่อต่าง ๆ ก็เสถียรดีไม่ได้รู้สึกถึงดีเลย์อะไรมากมายนัก แต่อย่าเผลอปล่อยให้น้องแบตเหลือน้อยเกินไปนะ เพราะบางทีก็จะมีอาการอ๋อง ๆ ให้เห็นบ้าง แล้วที่เสียดายจริง ๆ เลยคือเขาไม่รองรับการเชื่อมต่อแบบ Wireless 2.4g เราได้แต่ตั้งคำถามว่า ทำไม Keychron ทำไม!! คือเราใช้ PC เป็นหลักไงแล้วมันไม่มีตัวรับ Bluetooth ไง ต้องไปหาตัวรับสัญญาณมาต่อเพิ่มเองก็แอบ ๆ เซง อยู่เหมือนกัน อีกอย่างนึงคือเจ้าตัวนี้เขาไม่สามารถใช้โปรไฟล์ Bluetooth พร้อมกับการเสียบสายได้ ถ้าอยากใช้แบบเสียบสายก็ต้องเปลี่ยนไปโหมดเสียบสายก่อนทำให้ใช้พร้อมกันได้สูงสุดแค่ 3 เครื่องเท่านั้น แต่ในภาพรวมก็ถือว่าให้มาครบครันอยู่แหละ การเชื่อมต่อแบบ Bluetooth ก็รองรับอุปกรณ์ได้หลากหลาย สลับใช้งานได้แบบสบาย ๆ แล้ว 

ไฟ RGB

ไฟ RGB ก็เป็นอีกหนึ่งลูกเล่นที่พูดตรง ๆ ว่าคีย์บอร์ดสมัยนี้มีกันแทบทุกตัวแล้วแหละ ซึ่งในส่วนนี้ Keychron ก็จัดโหมดไฟมาให้ถึง 15 โหมด ที่จัดว่าทำออกมาได้สวยงามดูแล้วสบายตามาก ๆ การปรับโหมดไฟของเขาก็ทำออกมาให้ใช้งานง่าย กดแค่ปุ่มไฟที่เข้าใส่มาให้แค่ก็เปลี่ยนโหมดไฟได้ตามใจนึก ถึงเราจะชอบไปลั่นกดโดนก็เถอะ ฮาๆ ในเรื่องความสว่างก็ให้มาพอสมควรแต่มันก็ไม่ได้สว่างขนาดนั้น ถ้าเปิดในที่แสงสว่างมาก ๆ เอาตรง ๆ แทบจะไม่เห็นเลย แต่ยังไงก็ต้องขอยอมรับเลยว่าเขาทำไฟมาสวยจริง ๆ ทั้งในเรื่องสี แล้วก็การเฟดเข้าออกที่ทำออกมาสมูทมาก ๆ  

Software

เป็นที่น่าเสียดายที่ต้องบอกว่าเจ้าตัวนี้ไม่มี Software ไม่ได้มีรองรับเลย แต่ก็นะด้วย Layout นี้ปุ่มที่ให้มาค่อนข้างครบอยู่แล้ว การที่ไม่มี Software มาให้เลยไม่ได้เป็นปัญหากับการใช้งานมากเท่าไหร่นัก เราก็ได้แต่หวังว่าเขาจะทำตัวต้อ ๆ ไปให้มันรองรับสักหน่อย ยังไงมีไว้มันก็ดีกว่าไม่มีอะเนอะ

ที่ชอบ

  • ตัวบอร์ดแข็งแรง แต่พกพาง่าย
  • สวิตซ์ Tactile ที่เสียงเงียบมาก ๆ 
  • น้ำหนักในการพิมพ์กำลังดีไม่มากไม่น้อยเกินไป
  • ไฟ RGB สวยมาก
  • มี Sleep Mode

ที่ไม่ชอบ

  • เชื่อมต่อแบบ Wireless 2.4g ไม่ได้
  • ปุ่มเปลี่ยนโหมดไฟ RGB ลั่นโดนง่ายไปหน่อย
  • ปุ่มที่ชิดกันหมด เวลาใช้พวกปุ่มลูกศรจะชอบกดไปโดนปุ่มอื่นบ่อย ๆ 

ให้คะแนน

  • วัสดุ 8/10 : อันนี้ต้องกราบเฟรมอลูมิเนียมของเขาเลย อึด ถึก ทน สมคำร่ำลือมาก แต่คีย์แคปเขาแอบดูแลยากไปหน่อย
  • ดีไซน์ 8/10 : ส่วนตัวเราชอบดีไซน์เรียบ ๆ แบบนี้นะ วางไว้ที่ไหนก็สวย ขัดใจแค่ไอปุ่มที่ชิดกันไปหมดนี่แหละ
  • เสียง 6/10 : อย่างที่บอกว่าแบบเดิม ๆ เสียงเขาโหว่ง ๆ อะ ไม่ถึงกับแย่ พอไปวัดไปวาได้
  • การใช้งาน 7.5/10 : พิมพ์สนุกใช้งานได้หลากหลาย แต่อาจจะต้องปรับตัวกันนิดนึง
  • ความคุ้มค่า 7/10 : ราคานี้ก็เป็นตัวเริ่มต้นที่ดี ใช้งานได้ครอบคลุม Layout นี้ปรับตัวไม่ยาก แต่อาจจะต้อง Mod กันสักหน่อย

แนวทางการ Mod และ Sound Test

 

แนวทางการ Mod แบบกว้าง ๆ 

แนวทางการ Mod แบบ Step by Step และ Red Switch Sound Test

 

แนวทางการทำ Tape Mod

Sound Test Blue Switch

 

Sound Test Brown Switch

หาซื้อได้ที่ไหน

  • Mercular
  • Shopee
  • Lazada

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับเจ้า Keychron K4 V.2 ต้องบอกเลยว่าคีย์บอร์ด Layout 96% ไม่ได้มีให้เห็นกันมากเท่าไหร่นัก แฟน ๆ Layout นี้ก็คงตัดสินใจกันได้ไม่ยาก ยังไงก็ตามเราก็หวังว่าจะมีคีย์บอร์ดไซส์นี้ออกมาให้ได้ยลโฉมกันอีกในเร็ว ๆ นี้ ถ้าถึงเวลานั้น ทางเราไม่พลาดที่จะหยิบมากรีวิวให้ทุก ๆ คนได้รับชมอย่างแน่นอน ยังไงก็อย่าลืมรอติดตามรีวิวดี ๆ จากทางเราต่อไปด้วยนะค้าบ

รูปภาพ : keychronthailand

Share the Post:

Related Posts

รีวิว Nuphy Air 75 ครบจบสำหรับ Low Profile

รีวิว Nuphy Air 75  ย้อนกลับไปช่วงที่ Keychron กำลังดัง นางก็ออก K3 mechanical keyboard 75% low profile มาให้ทุกคนได้กรี๊ดกัน จะหาซื้อก็หาไม่ได้ ส่วนตัวผมเองก็ซื้อไม่ทันเช่นกัน ต้องรอเฝ้าติดตาม พอเค้าประกาศออกมา ว่าของมาแล้วก็รีบกดเลยจ้า

Read More

รีวิว Royal Kludge RK68 ตัวเริ่มต้นสำหรับมือใหม่หัดคัสตอม

Royal Kludge RK68 ถ้ามีคนมาถามให้แนะ Mechanical Keyboard ไซส์ 65 ตัวเริ่มต้นให้ซักตัว หนึ่งในตัวเลือกที่หลายๆคนจะคิดถึง ก็น่าจะเป็น RK68 ของแบรนด์ Royal Kludge ราคาปกติกระมาณ 1,600 บาท ถ้ารอช่วงลด มีโอกาส

Read More